ภาพการแข่งขัน | วีดีโอคลิป
สนาม ลุซนิกิ สเตเดี้ยม, รัสเซีย
ผู้ชมในสนาม 69,552 คน
รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ
เวลา 01.45 น. วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม 2551
ผู้ตัดสิน ลูบอส มิเชล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะจุดโทษ 6-5 หลังเสมอกันในเวลาปกติ และช่วงต่อเวลา 1-1
1-0 คาร์ลอส เตเบซ
1-1 มิเชล บัลลัค
2-1 ไมเคิล คาร์ริค
2-2 จูเลียโน่ เบลเลตติ
2-2 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (พลาด)
2-3 แฟร้งค์ แลมพาร์ด
3-3 โอเว่น ฮาร์กรีฟส์
3-4 แอชลี่ย์ โคล
4-4 หลุยส์ นานี่
4-4 จอห์น เทอร์รี่ (พลาด)
5-4 แอนเดอร์สัน
5-5 ซาโลมง กาลู
6-5 ไรอัน กิ๊กส์
6-5 นิโคลาส อเนลก้า (พลาด)
แล้วแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือแชมป์แห่งยุโรปเป็นครั้งที่ 3 ของสโมสร เมื่อเอาชนะเชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ 6 – 5 หลังจากที่จบเกม 120 นาทียังคงเสมอกันอยู่ 1 – 1
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ทีมเก็บชัยชนะในครั้งนี้ และทำให้ฝันของทีมปีศาจแดง เป็นจริงด้วยการป้องกันลูกยิงของ นิโคลาส อเนลก้า ไว้ได้ ในขณะที่ทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และจอห์น เทอร์รี่ ต่างก็พลาดจุดโทษ
ก่อนหน้านั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากลูกโหม่งของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในช่วงกลางครึ่งแรก แต่หลังจากนั้นในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ตามตีเสมอให้เชลซี ได้
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สร้างความประหลาดใจอีกครั้งด้วยการส่ง โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ลงเล่นในฝั่งขวา ไมเคิล คาร์ริค และพอล สโคลส์ ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง และให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงเล่นเป็นปีกซ้าย แล้วให้เวย์น รูนี่ย์ ยืนคู่กับคาร์ลอส เตเบซ ในแดนหน้า ส่วนในม้านั่งสำรองแน่นอนว่าไม่มืชื่อแกรี่ เนวิลล์ และหลุยส์ ซาฮา ที่มีอาการบาดเจ็บตลอดทั้งฤดูกาล แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือกลับไม่มีชื่อพาร์ค จี ซุง ในม้านั่งสำรองด้วย
ก่อนเริ่มเกมสนามลุซนิกิ เต็มไปด้วยสีสัน และเสียงเชียร์เมื่อทั้งเหล่าแฟนปีศาจแดง และแฟนสิงโตน้ำเงินครามจากอังกฤษต่างก็เดินทางไปร่วมเชียร์ทีมรักถึงขอบสนามจนแน่นขนัด
แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มเกมได้ดีกว่า และครองบอลได้มากกว่าในช่วงต้นเกม ฮาร์กรีฟส์ ได้โอกาสเปิดบอลเข้ากลางเป็นลูกหวาดเสียว 2 ครั้ง
จากนั้นแมนฯ ยูไนเต็ดต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนชั่วคราวในนาทีที่ 22 เมื่อพอล สโคลส์ ได้รับบาดเจ็บจากการเบียดแย่งบอลกับ โคล้ด มาเกเลเล่ ทำให้เลือดกำเดาไหล และต้องรับการปฐมพยาบาล แต่ เขาก็กลับมาทันที่จะมีส่วนช่วยในการได้ประตูแรกของแมนฯ ยูไนเต็ด
ในนาทีที่ 26 จากการประสานงานกันของสโคลส์ และเวส บราวน์ ก่อนที่บราวน์จะเปิดบอลเข้ากลางให้โรนัลโด้ ได้ขึ้นโหม่งโล่งๆ บอลผ่านมือ ปีเตอร์ เช็ค เข้าประตูไป เป็นประตูที่ 42 ของเขาในฤดูกาลนี้ และช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ 1 – 0
จากนั้นนาทีที่ 34 เชลซี ซึ่งได้บุกน้อยมาก มีโอกาสทำประตูจากจังหวะการเปิดบอลของ แลมพาร์ด ให้กับ ดร็อกบา ได้โหม่งแต่บอลก็หลุดออกนอกกรอบไป จากนั้นไม่ถึงนาที ริโอ เฟอร์ดินานด์ ก็เกือบทำบอลเข้าประตูตัวเองจากการโหม่งสกัดบอลจาก มิเชล บัลลัค แต่โชคดีที่เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ยังตื่นตัว และปัดลูกโหม่งของเขาไว้ทันก่อนที่จะโค้งเข้าประตู
จากนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด ก็น่าจะได้ประตูที่ 2 จากการเปิดบอลของโรนัลโด้ เข้ากลางให้กับคาร์ลอส เตเบซ ได้โหม่ง แต่บอลก็ไปตรงตัว เช็ค ปัดออกมาได้ บอลกระดอนไปเข้าทางไมเคิล คาร์ริค ได้ยิงซ้ำ แต่ เช็ค ก็โชว์ซุปเปอร์เซฟปัดไว้ได้อีกครั้ง
ทีมปีศาจแดงเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ก่อนหมดครึ่งแรก 2 นาที ฮาร์กรีฟส์ ได้เปิดบอลให้รูนี่ย์ ที่อยู่ทางฝั่งขวา ได้เปิดบอลเข้าไปที่หน้าประตู บอลผ่าน มาเกเลเล่ ไปถึงเตเบซ ที่วิ่งเข้ามาที่กลางประตู แต่เขาก็เข้าไม่ถึงบอล ทำให้บอลเลยออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
จากนั้น เชลซี ก็ได้ลูกฟรีคิกที่บริเวณกรอบเขตโทษ เมื่อเฟอร์ดินานด์ ไปทำฟาวล์ แลมพาร์ด แต่ลูกฟรีคิกของ บัลลัค ก็เหินข้ามคานออกไป
แต่แล้วในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เชลซีก็ตีเสมอได้สำเร็จ จากลูกยิงไกลของ เอสเซียง บอลไปแฉลบทั้งวิดิช และเฟอร์ดินานด์ แล้วกระดอนไปเข้าทาง แลมพาร์ด ที่วิ่งเติมขึ้นมาได้ยิงผ่านมือ ฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าประตูไป แมนฯ ยูไนเต็ด 1 เชลซี 1
หลังจากที่เชลซี ตีเสมอได้ในช่วงท้ายครึ่งแรก พวกเขาก็กลับมาเริ่มครึ่งหลังด้วยความมั่นใจ ทำเกมได้ดีขึ้น และครองเกมบุกได้มากกว่า เอสเซียง ได้ลากบอลบุกขึ้นหน้า ผ่านโรนัลโด้ ไปได้ก่อนที่จะตัดเข้ากลาง และยิงเต็มข้อ แต่บอลก็เหินข้ามคานออกไป
จากนั้น แอชลี่ย์ โคล ก็ได้เปิดบอลเข้ากลาง แต่ก่อนที่ ดร็อกบา จะเข้าถึงบอล วิดิช ก็โหม่งสกัดออกไปได้ก่อน จากนั้น เชลซี ก็ได้บุกอย่างต่อเนื่อง และเฟอร์ดินานด์ ก็ต้องโหม่งสกัดออกไปถึง 2 ครั้ง
จากนั้น นาทีที่ 57 แฟนปีศาจแดงก็ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อ ดร็อกบา ได้ยิงเต็มๆ ด้วยเท้าซ้าย บอลผ่านมือฟาน เดอร์ ซาร์ไปแล้ว แต่ก็ไปชนเสากระดอนออกไป
เชลซีครองเกมบุกไว้ได้เป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังทำประตูแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้
นาทีที่ 87 แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนตัว ส่งไรอัน กิ๊กส์ ลงเล่นแทนสโคลส์ และเขาก็สร้างสถิติใหม่ให้แมนฯ ยูไนเต็ด โดยทำลายสถิติของ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ด้วยการลงเล่น 759 นัดให้กับทีมปีศาจแดง
ก่อนหมดเวลา เชลซี เกือบได้เฮ เมื่อ แลมพาร์ด ได้ยิงเต็มๆ แต่บอลกลับไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
ช่วงต่อเวลาพิเศษ กิ๊กส์ เกือบทำประตูได้ จากการเปิดบอลของเอฟร่า ให้กับกิ๊กส์ ได้ยิง แต่จอห์น เทอร์รี่ ก็โหม่งสกัดไว้ได้ ช่วงต่อเวลาพิเศษในครึ่งหลัง เชลซีก็ต้องเหลือตัวผู้เล่นเพียง 10 คนเมื่อ ดร็อกบา ได้ใบแดงจากการไปตบหน้าวิดิช ในขณะที่เตเบซ และ บัลลัค ต่างก็ได้รับใบเหลืองจากเหตุการณ์ชุลมุนครั้งนี้
แต่แล้วแม้จะต่อเวลากันไปอีก 30 นาที ทั้งสองทีมก็ทำประตูกันเพิ่มไม่ได้ต้องตัดสินกันที่การยิงลูกโทษ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ยิงก่อน และคาร์ลอส เตเบซ, มิเชล บัลลัค, ไมเคิล คาร์ริค, จูเลียโน่ เบลเลตติ ต่างก็ยิงเข้าทุกคน ทำให้เสมอกันอยู่ 2 – 2 คนที่สามของแมนฯ ยูไนเต็ด คือ โรนัลโด้ แต่ลูกยิงของเขากลับถูก ปีเตอร์ เช็ค ปัดไว้ได้ทำให้เชลซี ได้เปรียบอยู่ในขณะนี้ จากนั้นก็ตามด้วยลูกยิงของแฟร้งค์ แลมพาร์ด, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์, แอชลี่ย์ โคล, หลุยส์ นานี่ ที่ยิงไม่พลาดซักคน ทำให้ขณะนี้สกอร์อยู่ที่ 4 – 4 หากคนสุดท้ายของเชลซี ซึ่งก็คือจอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีม ยิงเข้า เชลซีก็จะเป็นแชมป์ทันที แต่แล้วเทอร์รี่ กลับลื่นล้ม และยิงบอลไปชนเสา ทำให้การดวลจุดโทษเสมอกันอยู่ที่ 4 – 4 ต้องตัดสินกันตัวต่อตัว
คนแรกของแมนฯ ยูไนเต็ด คือแอนเดอร์สัน ยิงเข้าประตูไป ตามด้วยลูกยิงของกาลู และลูกยิงของไรอัน กิ๊กส์ และปิดท้ายด้วยลูกยิงของนิโคลาส อเนลก้า ซึ่งถูกเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ปัดออกไปได้ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยุโรปไปครองได้เป็นสมัยที่สามสร้างประวัติศาสตร์ที่สวยหรูให้สโมสรอีกครั้ง (บรรยายเกมโดย โอปอล)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 1
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5 ( น.43)
เวส บราวน์ 6
ปาทริซ เอฟร่า 3
เนมานย่า วิดิช 15 ( น.111)
พอล สโคลส์ 18 ( น.22)
โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ 4
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7 ( น.26)
ไมเคิล คาร์ริค 16
เวย์น รูนี่ย์ 10
คาร์ลอส เตเบซ 32 ( น.116)
สำรอง
โทมัสซ์ คุสซ์แซค 29
จอห์น โอเชีย 22
ไรอัน กิ๊กส์ 11 น.87 พอล สโคลส์ 18
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
หลุยส์ นานี่ 17 น.102 เวย์น รูนี่ย์ 10
แอนเดอร์สัน 8 น.120 เวส บราวน์ 6
เชลซี
ปีเตอร์ เช็ค 1
แอชลี่ย์ โคล 3
จอห์น เทอร์รี่ 26
ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ 6 ( น.45)
โจ โคล 10
แฟร้งค์ แลมพาร์ด 8 ( น.45)
มิคาเอล เอสเซียง 5 ( น.118)
ฟลอรองต์ มาลูด้า 15
โคล้ด มาเกเลเล่ 4 ( น.21)
มิเชล บัลลัค 13 ( น.116)
ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 11 ( น.116)
สำรอง
คาร์โล คูดิชินี่ 23
จูเลียโน่ เบลเลตติ 35 น.120 โคล้ด มาเกเลเล่ 4
อังเดร เชฟเชนโก้ 7
ซาโลมง กาลู 21 น.92 ฟลอรองต์ มาลูด้า 15
อเล็กซ์ 33
จอห์น โอบี มิเกล 12
นิโคลาส อเนลก้า 39 น.99 โจ โคล 10
สถิติของเกม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประตู 1, ยิงตรงกรอบ 5, ยิงหลุดกรอบ 5, โดนบล็อค 3, เตะมุม 5, ฟาวล์ 22, ล้ำหน้า 1, ใบเหลือง 4, การครองบอล 55.9%
เชลซี ประตู 1, ยิงตรงกรอบ 1, ยิงหลุดกรอบ 18, โดนบล็อค 6, เตะมุม 8, ฟาวล์ 25, ล้ำหน้า 2, ใบเหลือง 4, ใบแดง 1, การครองบอล 44.1%
คะแนนความสามารถ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 7, เวส บราวน์ 7, ปาทริซ เอฟร่า 7, เนมานย่า วิดิช 7, พอล สโคลส์ 8, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ 8, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 8, ไมเคิล คาร์ริค 7, เวย์น รูนี่ย์ 7, คาร์ลอส เตเบซ 7
สำรอง ไรอัน กิ๊กส์ 7, หลุยส์ นานี่ 6, แอนเดอร์สัน 6
เชลซี ปีเตอร์ เช็ค 7, แอชลี่ย์ โคล 7, จอห์น เทอร์รี่ 7, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ 7, โจ โคล 7, แฟร้งค์ แลมพาร์ด 7, มิคาเอล เอสเซียง 7, ฟลอรองต์ มาลูด้า 7, โคล้ด มาเกเลเล่ 7, มิเชล บัลลัค 7, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 5
สำรอง จูเลียโน่ เบลเลตติ 6, ซาโลมง กาลู 6, นิโคลาส อเนลก้า 4
Por